วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เสริมสร้างธรรมาภิบาลและความมั่นคงของทุนชุมชน

ชื่อ – นามสกุล    นางศิริกาญจน์     แดงงาม
ตำแหน่ง     นักวิชาการพัฒนาชุมชนชำนาญการ
สังกัด        สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอแปลงยาว
เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้สะดวก   08-24620864
ชื่อเรื่อง           เสริมสร้างธรรมาภิบาลและความมั่นคงของทุนชุมชน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ    พ.ศ. 2550
สถานที่เกิดเหตุการณ์     ตำบลบางพลวง  อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี

เรื่องเล่า                                
ในปี พ.ศ.2550 ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งเปลี่ยนสายงานจากตำแหน่งเจ้าพนักงานเงินและบัญชี สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดปราจีนบุรี  เป็นนักพัฒนาชุมชน อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี   พัฒนาการอำเภอบ้านสร้าง คือ นายมานิต  แว่นแก้ว  เป็นหัวหน้าในขณะนั้น  ได้มอบหมายให้ข้าพเจ้ารับผิดชอบ  ๒ ตำบล
คือตำบลบ้านสร้าง และตำบลบางพลวง  มันจึงเป็นจุดเปลี่ยนการทำงานที่เคยได้แต่นั่งโต๊ะทำแต่การเงิน แต่บัดนี้ได้พลิกชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง มาสัมผัสกลิ่นไอของชาวบ้านอย่างถึงพริกถึงขิง เลยก็ว่าได้  จากการที่ไม่รู้อะไรเลย ก็มาเรียนรู้ทั้งหมดของการเป็นพัฒนากร  บ่อเกิดธรรมาภิบาล    ก็เริ่มขึ้น  จากหมู่บ้านเล็ก ๆ ในตำบลบางพลวง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีอิทธิพลในการใช้วาทศิลป์ของผู้นำต่าง ๆ  ไม่เว้นกระทั้ง พ่อบ้าน อบต.   

หมู่บ้านของตำบลบางพลวง มีลักษณะการเป็นอยู่ตามแบบชาวบ้านทั่วๆ ไป  แต่สิ่งที่ไม่ธรรมดาก็คือ  ความร่วมมือในการทำงานน้อยมาก  ดิฉันทำหนังสือเชิญประชุมแกนนำต่าง ๆ ไม่ได้รับความร่วมมือเลย  อ้างแต่ว่าไม่มีเวลา ทำมาหากิน  ประสานอะไรก็ไม่ได้   และที่สำคัญที่สุดคือ เขาบอกว่าส่วนราชการทำอะไรก็ไม่รู้  วัน ๆ ก็มายุ่งวุ่นวายให้ชาวบ้านทำ แล้วตัวเองก็ได้ความดีความชอบ จนไม่คิดว่าชาวบ้านเขาจะต้องทำมาหากิน  เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง  มัวแต่มานั่งประชุม อบรม จะได้อะไร เงินสักบาทก็ไม่มีให้  แถมค่าน้ำมันก็ต้องจ่ายเองอีก  เสียเวลาทำมาหากิน จนดิฉันท้อ  ร้องไห้กับการแก้ไขปัญหาการทำงานของตัวเองไม่ได้   อยากจะโอนไปอยู่ที่อื่นในขณะนั้นดิฉันคิดอย่างนี้จริง ๆ   

โชคดีหรือตัวเองได้ทำบุญมาก็ไม่รู้    ได้มีรุ่นพี่พัฒนากรคนหนึ่งเขาเล่าประสบการณ์เขาให้ฟังว่า  แต่ก่อนพี่เขายิ่งลำบากกว่าดิฉัน  ต้องไปพักค้างที่หมู่บ้าน แถมรถยนต์ก็ไม่มี ตากแดดตากฝน ไปหาชาวบ้าน  ทำงานเงินเดือนก็น้อย แถมเบี้ยเลี้ยงก็ไม่พอค่ารถอีก   ดิฉันถามว่าทำไมไม่ย้ายไปอยู่ที่อื่น พี่เขาตอบว่า ได้กินได้มี ก็เพราะข้าวหม้อนี้   ทำให้เขามีเงินส่งลูกเรียน   มีบ้านพักอาศัย มีรถเอาไว้ทำงาน พี่เขาเล่าต่อว่า การทำงานก็มีอุปสรรคบ้างเป็นธรรมดาของคนทำงาน  คนไม่ทำงานคือคนไม่รู้จักผิด  คนที่ผิด คือคนที่ทำงาน   การจะให้ชาวบ้านยอมรับเราต้องขยันออกพื้นที่ซื้ออะไรติดมือไปบ้าง  ทำเหมือนเขาเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง  ที่สำคัญที่สุดต้องทำด้วยใจ อย่าคิดว่า ทำเพราะหน้าที่เท่านั้น   การเป็นพัฒนากร ต้องเป็นด้วยใจที่รัก ไม่ใช่เป็นเพราะตำแหน่งที่ดูดี ดิฉันรู้สึกอึ้งน้ำตาก็ซึมออกมา  ในใจอยากจะขอบคุณพี่เขาอย่างมากที่ 

ทำให้ดิฉันเปลี่ยนวิถีการทำงาน จากคนที่นั่งทำแต่การเงินของจังหวัด  มาสัมผัสการเป็นอยู่ของชาวบ้านที่ต้องเอาใจไปสื่อให้เขารู้ว่าเราจริงใจกับเขาขนาดไหน  แม้นแต่การสอนให้ชาวบ้านคิดเป็น  ทำเป็น และสามารถพึ่งตนเองได้   มันโผล่ขึ้นมาในสามัญสำนึกของดิฉันว่า ต้องทำได้ ต้องทำได้ และต้องทำได้  สิ่งที่ท้าท้ายดิฉัน คือการให้ชาวบ้านยอมรับดิฉันในฐานะพี่เลี้ยงของพวกเขา 

ดิฉันเริ่มจากจุด หมู่บ้านที่มีแกนนำเป็นผู้ชายก่อน เพราะคิดว่าน่าจะพูดง่ายกว่าผู้หญิง การพูดคุยเป็นแบบธรรมดา ไม่ดัดจริตโอ้อวดเกินไป และให้เกียรติเสมอ  หากผู้นำทำผิด ดิฉันพูดเสมอว่า ไม่เป็นไร ทำใหม่ได้ ผู้นำผิดกัน  ดิฉันก็จะพูดเสมอว่า  ยอมหยุดเย็น ยอมไม่เป็น ก็เย็นไม่ได้  ผู้นำไม่ร่วมประชุม ดิฉันก็บอกตัวเองว่าเราบกพร่องตรงไหน อันไหนที่เรายังไม่ได้ทำ  หรือมีอันไหนที่เราทำแล้วไม่ได้ดี  คอยแต่คิดจะแก้ไขปัญหาของตัวเอง และยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง ไม่เคยที่จะรับแต่ชอบสักครั้งในการทำงาน  และไม่เคยที่จะโยนความผิดให้กับคนอื่น  เพราะคิดว่า  ความผิดถือเป็นบทเรียนที่เราจะต้องนำมาปรับปรุงแก้ไขการทำงานให้ดียิ่งขึ้น การที่คนอื่นเกลียดเรา นินทาเรา ว่าร้ายเรา  ถามว่าโกรธไหม ชอบไหม  ทุกคนก็ต้องตอบว่า  ไม่ชอบ ที่ใครมานินทา ใส่ร้ายเรา   แต่ในความคิดของดิฉัน ดิฉันไม่เคยโกรธไม่ว่าใครจะนินทา จะว่าร้ายใส่ความอย่างไรก็ตาม  เพราะดิฉันยึดหลักที่ว่า พระอาทิตย์ไม่มีทางขึ้นทางตะวันตกฉันใด  การนินทาว่าร้าย ก็ไม่หายไปจากสังคมนี้อย่างแน่นอน ฉันใดก็ฉันนั้น

การทำงานของดิฉันก็เช่นกัน   ดิฉันหาข้อผิดพลาดในการทำงานแต่ละครั้ง และทำการบันทึกข้อผิดพลาด นำไปแก้ไขด้วยวิธีการต่าง ๆ  อาทิเช่น  การเอาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นกรอบในความคิดการเอาปรัชญาของผู้นำต่าง ๆ มาวิเคราะห์ และสังเคราะห์  และการเอาคุณธรรมมาใช้ในการทำงาน ฝึกการอดทนต่อสิ่งต่าง ๆ และใช้ความนิ่งสงบความเคลื่อนไหว  ใช้ความดีชนะความไม่ดี  สิ่งสำคัญที่สุด คือการฝึกจิตใจให้อภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเสมอ

บ่อเกิดคุณธรรม   เริ่มจากการทำงานในเรื่อง การส่งเสริมการตรวจสุขภาพกองทุนโครงการการแก้ไขปัญหาความยากจน (กข.คจ. ) ของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในตำบลบางพลวง  ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ไม่เคยส่งใช้เงินคืน โครงการแก้ไขปัญหาความยากจน (กข.คจ.) มาตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ ถึงปี ๒๕๕๓  เป็นเวลา  ๖ ปี ซึ่งข้อมูลหลักฐานไม่มีเหลือเลย  ไม่ว่าจะที่อำเภอหรือหมู่บ้าน หายหมด ถามใครก็ไม่รู้ เพราะมันตกทอดมาหลายรุ่น เขาว่ากันอย่างนี้  ดิฉันจึงนำเรียนพัฒนาการอำเภอ ในขณะนั้น คือนายมานิต แว่นแก้ว   ท่านได้ให้ดิฉันลงพื้นที่ไปหาความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นให้หาต้นตอ ว่าหลักฐานอยู่กับใคร กรรมการคนไหนเอาเก็บไว้ บ้าง  รุ่งเช้าดิฉันก็ไปพื้นที่ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาไปสืบหาว่ามันเกิดอะไรขึ้น 

โดยเรียกคณะกรรมการทั้งหมดมาประชุมกัน  แต่ดิฉันไม่ได้เอาระเบียบฯ ไปอ้าง หรืออ่านให้ชาวบ้านฟัง  แต่ดิฉันใช้เทคนิคในการผ่อนสั้น ผ่อนยาว  เพราะคิดว่าชาวบ้านก็คือชาวบ้าน  อ้อยเข้าปากช้างแล้ว ยากที่จะได้คืน  ดังนั้น เราต้องใช้กลวิธี อะลุ่มอล่วยในการทำงาน  ค่อยทีค่อยอาศัย  และเชื่อว่าทุกอย่างมีทางออก แต่จะช้าหรือเร็วต่างหาก  ดิฉันลงพื้นที่ไปติดตาม ๒ เดือนในการพูดคุยและคอยช่วยเหลือชาวบ้านโดยการหาทางออกให้ชาวบ้าน  คือใช้วิธีให้ชาวบ้านจับกลุ่มกัน ๓ คน กู้กันยืมกัน  ผลปรากฏว่า สามารถช่วยให้ชาวบ้านเกิดความรัก และความสามัคคี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่แตกแยกพวกพ้อง  และมีจุดไปในทิศทางเดียวกัน   ผลที่ได้รับคือความไว้เนื้อเชื่อใจที่ชาวบ้านมอบให้ดิฉัน

ความสุขที่ดิฉันได้รับ   คือการทำให้ชาวบ้านรักกัน และรวมแก้ไขปัญหาร่วมกัน ทำให้หมู่บ้านและชุมชนมีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งตนเองได้  การทำให้ถูกต้องระเบียบฯ ของทางราชการ ยอมเป็นสิ่งที่ดี  แต่การใช้กลวิธีในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นย่อมดีกว่า สังคมจะอยู่อย่างสันติได้  ก็เพราะการอะลุ่มอล่วยกัน  ตึงมากก็ไม่ดี  หย่อนมากก็ไม่ดี ดังนั้น ทางออกจึงต้องเดินทางสายกลาง นั้นเอง

ขุนความรู้(Knowledge Asset)
  • การปฏิบัติงานในตำแหน่งพัฒนากร ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ทำให้เกิดความท้อ และความไม่มั่นใจในการปฏิบัติงานในตำแหน่งนี้
  • การศึกษาและเรียนรู้ในการปฏิบัติงานในพื้นที่
  • การหาที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ คอยแนะนำ
  • การเข้าถึงบุคคลในการทำงานในพื้นที่
  • ความศรัทธาในการทำความดี
แก่นความรู้  (Core Competence)
  • สร้างความสัมพันธ์ชุมชน
  • สร้างความไว้วางใจ
  • สร้างความมั่นใจ
  • สร้างแรงบันดาลใจ
หลังจากวันที่ประชุมนั้น  ประมาณ 3 วันชาวบ้าน จำนวน 5  ราย พร้อมผู้ใหญ่บ้าน พากันเข้าพบท่านนายอำเภอบ้านสร้าง   ในขณะนั้น คือ นายธวัฒนชัย   ม่วงทอง  และท่านก็เรียกเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบตำบลบางพลวงมาพบว่าทำไมถึงแก้ปัญหาไม่ได้  ทั้ง ๆ ที่เจ้าหน้าที่ รวมถึงพัฒนาการอำเภอ  ได้ลงพื้นที่และแก้ไขปัญหา รวมถึงได้หาข้อยุติปัญหาต่างๆ   แต่ปรากฏว่าชาวบ้านที่มาร้อง ก็พูดประโยคเหมือนเดิมว่า เจ้าหน้าที่ฯ ทุกคนเข้าข้างฝ่ายคณะกรรมการ  ไม่มีความเป็นธรรม ลำเอียง ต้องการความยุติธรรม จึงมาพบท่านนายอำเภอฯ เพื่อลงไปตัดสินปัญหาให้กับพวกเขาด้วย  ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอีกว่าพัฒนาการอำเภอก็เหมือนกัน เข้าข้างกัน หาความยุติธรรมไม่ได้   นายอำเภอฯ  สั่งการให้ดิฉันลงพื้นที่อีกครั้งเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และหาข้อยุติปัญหาต่าง ๆ ให้กับชาวบ้านกลุ่มนี้โดยด่วน    ดิฉันจึงเครียดมาก   เพราะอยู่  ๆ ก็โดนร้องเรียนว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้  แต่ด้วยคำสั่งจะต้องรายงานให้นายอำเภอฯ ทราบ โดยด่วน  ดิฉันก็มานั่งทบทวนตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไปร่วมประชุมว่าดิฉันได้กล่าวหรือไม่ได้กล่าวในเรื่องอะไรบ้าง  โดยเอาปากกาและกระดาษมาเขียนเป็นข้อ  ๆ  และช่วงนั้นก็มีการสอบของนักศึกษาปริญญาโท ในสัปดาห์เดียวกันด้วย  จึงทำให้ดิฉันยิ่งเครียดหนักมาก จึงโทรฯ หามารดาเพื่อระบาย   เรื่องต่าง ๆ จึงได้สติและลงมือปฏิบัติหน้าที่ โดยเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลัง    และวางแผนก่อนการลงพื้นที่โดยสืบหาต้นเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ก็โทรศัพท์เชิญกลุ่มผู้ฟ้องร้องและกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ เข้าร่วมประชุมเพื่อรับฟังข้อมูลในการบริหารจัดการที่ถูกต้องตามระเบียบกองทุนหมู่บ้าน ฯ  โดยก่อนจะเปิดประเด็นปัญหาต่าง ๆ   ดิฉันได้ใช้หลักจิตวิทยาและระเบียบฯ ในการประชุมครั้งนี้   จนทุกคนเข้าใจ แล้วพากันตบมือให้กับดิฉัน  ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ประดับใจมากที่สามารถชนะใจชาวบ้านได้      และสิ่งสำคัญที่สุดที่ดิฉันภาคภูมิใจคือท่านนายอำเภอได้แสดงความขอบคุณมาก  ในรายงานการบันทึกครั้งนี้  และนี้คือที่มา  ขอการยุติแสนจะเบื่อหน่าย

บันทึกขุมความรู้ (Knowledge Assets)
การไม่เข้าใจระเบียบฯ และแนวทางปฏิบัติ    การประชุมเพื่อชี้แจงระเบียบฯ และปัญหาให้ชัดเจน
การรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบทุกครั้ง  การสร้างพลังความสามัคคีในชุมชน   การวางแผนในการทำงานก่อนลงพื้นที่   ประดับใจที่ชนะใจของชุมชนได้  ความภาคภูมิใจที่ได้รับคำชมจากผู้บังคับบัญชา  

แก่นความรู้ (Core Competency)
  • การวิเคราะห์ปัญหา รับทราบข้อมูล
  • งานสัมฤทธิ์ผล เกิดความภาคภูมิใจ
กลยุทธ์ในการทำงาน
1.  การวิเคราะห์ปัญหา รับทราบข้อมูล
การวิเคราะห์ปัญหา เป็นการคัดกรองปัญหาต่างๆ  ว่าเกิดจากอะไร เกิดอย่างไรเมื่อเรารู้ปัญหาแล้ว  จะได้รับทราบข้อมูลว่ามันเกิดจากอะไร เช่น  การเขียนคำร้องถึงนายอำเภอว่าเจ้าหน้าที่ลงไปประชุมไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ยังคลุมเครือ   เราต้องมาวิเคราะห์ปัญหาว่าเกิดจากอะไร ทำไมชาวบ้านจึงกล่าวอย่างนั้น  สิ่งแรกที่จะต้องทำคือ สำรวจตนเองก่อนว่าตนเองมีข้อบกพร่องอย่างไร โดยวิเคราะห์เป็นข้อ ๆ   เช่น  ได้กล่าวถึงเรื่องระเบียบฯ การบริหารงาน   แนวทางการปฏิบัติ   หน้าที่ของสมาชิก และคณะกรรมการ รวมถึงบทลงโทษต่าง ๆ ชัดเจนหรือไม่อย่างไร  ในกรณีนี้ไม่ใช่ในเรื่องระเบียบฯ หรือแนวทางการปฏิบัติและการบริหารงานต่าง ๆ  แต่เป็นการกระทำของกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์  ซึ่งได้รับทราบข้อมูลแล้ว  ดังนั้น การวิเคราะห์ปัญหา จึงไปอยู่ที่กลุ่มผู้เสียผลประโยชน์  จะทำอย่างไรให้ผู้เสียผลประโยชน์เข้าใจ รับฟัง และยอมรับในมติที่ประชุม โดยการเชิญเข้าร่วมประชุมและชี้แจงการบริหารงานต่าง ๆ  รวมถึงการตอบข้อซักถาม และนำหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ในการบริหารงาน   และนี้คือการวิเคราะห์ปัญหา รับทราบข้อมูล
 
2. งานสัมฤทธิ์ผล เกิดความภาคภูมิใจ
การทำงานไม่ว่าจะเป็นงานในหน้าที่ หรืองานต่าง ๆ  ในชีวิตประจำวัน   หากตั้งใจแล้วไม่ต้องกลัวว่าผลที่จะออกมาเป็นอย่างไร แต่ให้คิดเสมอคนทำงานต้องมีคำว่าผิด คนไม่ผิดคือคนไม่ทำงาน  จนทำให้สถานการณ์ในหมู่บ้านนั้นคลี่คลายลงได้ด้วยดี   และได้รับคำชมจากนายอำเภอฯ  ในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งได้อย่างรวดเร็ว  โดยท่านแสดงความขอบคุณมาก  ในรายงานการบันทึกครั้งนี้  และนี้คืองานสัมฤทธิ์ผล เกิดความภาคภูมิใจ                                                     

กฎระเบียบ แนวคิด ทฤษฎี ที่เกี่ยวข้อง
ระเบียบคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ว่าด้วยการจัดตั้งและบริหารกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. 2551   และหลักการพัฒนาชุมชน                       

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ23 สิงหาคม 2556 เวลา 15:36

    คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ สู้ๆ นะครับ

    ตอบลบ