สถานการณ์ที่ทำให้เราต้องไปศึกษา...
ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรามีประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม
และศาสนาคริสต์ กระจายอยู่ด้วยกันในหลายพื้นที่
ความยากลำบากของการทำงานในพื้นที่เหล่านี้ คือ
ทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่และผู้นำชุมชนจะต้องเข้าใจ และเข้าถึง
ความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ และวิถีชีวิตของชาวบ้านทุกฝ่าย
เพื่อให้การพัฒนาหมู่บ้านเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ราบรื่น
หากมีปัญหาก็สามารถแก้ไขได้ด้วยสันติวิธี
เหตุผลที่เลือกพื้นที่ “บ้านบึงสิงห์” เพื่อถอดบทเรียนการทำงาน... เนื่องจากบ้านบึงสิงห์เป็นพื้นที่ที่มีผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาชุมชนค่อนข้างโดดเด่น โดยเฉพาะการดำเนินงานกองทุนแม่ของแผ่นดิน ซึ่งเป็นกลุ่ม/องค์กรแกนหลักในการพัฒนาชุมชน นอกจากนี้การดำเนินงานกองทุนต่างๆ และการพัฒนาหมู่บ้านด้านอื่นๆ ก็เป็นไปด้วยความราบรื่น เรียบร้อย ชาวบ้านให้ความร่วมมือกับทางราชการดีมาก และที่สำคัญคือที่นี่มีชาวบ้านที่นับถือศาสนาอิสลาม และชาวบ้านที่นับถือศาสนาพุทธอยู่ด้วยกัน เราจึงต้องการศึกษาว่าทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและผู้นำชุมชน เขามีเทคนิควิธีการทำงานอย่างไร เพื่อจะได้นำเอาวิธีการเหล่านี้ไปใช้ในพื้นที่อื่นๆ ที่มีสภาพของหมู่บ้านใกล้เคียงกันได้บ้าง
เหตุผลที่เลือกพื้นที่ “บ้านบึงสิงห์” เพื่อถอดบทเรียนการทำงาน... เนื่องจากบ้านบึงสิงห์เป็นพื้นที่ที่มีผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาชุมชนค่อนข้างโดดเด่น โดยเฉพาะการดำเนินงานกองทุนแม่ของแผ่นดิน ซึ่งเป็นกลุ่ม/องค์กรแกนหลักในการพัฒนาชุมชน นอกจากนี้การดำเนินงานกองทุนต่างๆ และการพัฒนาหมู่บ้านด้านอื่นๆ ก็เป็นไปด้วยความราบรื่น เรียบร้อย ชาวบ้านให้ความร่วมมือกับทางราชการดีมาก และที่สำคัญคือที่นี่มีชาวบ้านที่นับถือศาสนาอิสลาม และชาวบ้านที่นับถือศาสนาพุทธอยู่ด้วยกัน เราจึงต้องการศึกษาว่าทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและผู้นำชุมชน เขามีเทคนิควิธีการทำงานอย่างไร เพื่อจะได้นำเอาวิธีการเหล่านี้ไปใช้ในพื้นที่อื่นๆ ที่มีสภาพของหมู่บ้านใกล้เคียงกันได้บ้าง
ทำไมพื้นที่ที่มีทั้งพุทธและอิสลามอยู่ด้วยกันจึงแตกต่างจากพื้นที่อื่น...
เหตุผลที่สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ คือ ความแตกต่างทางด้านการนับถือศาสนา ทำให้ทัศนคติ
ความรู้สึกนึกคิด และวิถีชีวิตของชาวบ้านแตกต่างกัน ดังนั้น
การทำงานพัฒนาชุมชนในพื้นที่ที่ทั้งผู้ที่นับศาสนาพุทธและอิสลามอยู่ด้วยกัน
จึงต้องมีวิธีการทำงานที่แตกต่างจากพื้นที่ที่มีชาวบ้านนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งเพียงศาสนาเดียว
บริบทของบ้านบึงสิงห์... ตำนานของบ้านบึงสิงห์ ก็คือ ในอดีตนั้นหมู่บ้านแห่งนี้มีลักษณะเป็นบึงน้ำ และมีสัตว์ป่าชุกชุมโดยเฉพาะสิงโต จึงเป็นที่มาของคำว่า “บ้านบึงสิงห์” ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ชื่อของหมู่บ้านที่ใช้อย่างเป็นทางการนั้นไม่ใช่บ้านบึงสิงห์ แต่ชื่อ “บ้านคลอง 18” ตามสภาพปัจจุบันของหมู่บ้าน ตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ตำบลหมอนทอง อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา อยู่ทางทิศเหนือของที่ว่าการอำเภอบางน้ำเปรี้ยว ระยะห่างประมาณ 10 กิโลเมตร มีจำนวนครัวเรือน 172 ครัวเรือน ประชากร 1,134 คน แยกเป็นเพศหญิง 569 คน เพศชาย 565 คน ชาวบ้านส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และบางส่วนนับถือศาสนาพุทธ
ลักษณะการประกอบอาชีพและสถานที่สำคัญ...
ชาวบ้านบึงสิงห์ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา ประมาณร้อยละ 80 รองลงมา คือ
อาชีพรับจ้างทั่วไป ประมาณร้อยละ 15 และอาชีพอื่นๆ อีกประมาณร้อยละ 5
แต่ที่น่าแปลก คือ ที่นี่มีผู้ที่เป็นข้าราชการจำนวนมาก ประมาณ 30 คน และยังเป็นข้าราชการเกษียณอีก
10 คน เหตุที่มีข้าราชการมากนี้ เล่ากันว่า เนื่องจากคนรุ่นปู่ย่าตายาย
ได้ปลูกฝังค่านิยมนี้ไว้
และยังมีการอุทิศที่ดินให้มีการปลูกสร้างโรงเรียนและสถานที่ราชการหลายแห่ง เช่น
โรงเรียนหมอนทองวิทยา (เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษา ม.1-6
พัฒนามาจากโรงเรียนราษฎร์อิสลามฉะเชิงเทราบึงสิงห์) โรงเรียนบึงสิงโต (เป็นโรงเรียนชั้นอนุบาล
- ป.6) ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของกรมการศาสนา โรงเรียนสอนศาสนา (โรงเรียนปอเน๊าะ) 2
แห่ง มัสยิด (ยามิอุ้ลคอยร๊อต) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหมอนทอง จึงกลายเป็นค่านิยมของคนรุ่นใหม่ในหมู่บ้านนี้ให้นิยมทำอาชีพรับราชการบริบทของบ้านบึงสิงห์... ตำนานของบ้านบึงสิงห์ ก็คือ ในอดีตนั้นหมู่บ้านแห่งนี้มีลักษณะเป็นบึงน้ำ และมีสัตว์ป่าชุกชุมโดยเฉพาะสิงโต จึงเป็นที่มาของคำว่า “บ้านบึงสิงห์” ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ชื่อของหมู่บ้านที่ใช้อย่างเป็นทางการนั้นไม่ใช่บ้านบึงสิงห์ แต่ชื่อ “บ้านคลอง 18” ตามสภาพปัจจุบันของหมู่บ้าน ตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ตำบลหมอนทอง อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา อยู่ทางทิศเหนือของที่ว่าการอำเภอบางน้ำเปรี้ยว ระยะห่างประมาณ 10 กิโลเมตร มีจำนวนครัวเรือน 172 ครัวเรือน ประชากร 1,134 คน แยกเป็นเพศหญิง 569 คน เพศชาย 565 คน ชาวบ้านส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และบางส่วนนับถือศาสนาพุทธ
สิ่งบ่งชี้ให้เห็นความสำเร็จของบ้านบึงสิงห์... อย่างแรกที่เห็นเป็นรูปธรรม คือ กองทุนแม่ของแผ่นดิน คณะกรรมการกองทุนทุกคนมีส่วนร่วม เอาใจใส่ และขยันขันแข็งมาก มีกิจกรรมต่อยอดขยายผลเงินขวัญถุงของกองทุนแม่ฯ โดยการแลกเงินขวัญถุง 200 บาท ต่อ 1,000 บาท และจัดงานชุมชนเข้มแข็ง มีการออกงานจำหน่ายสินค้านำเงินมาสมทบกองทุนให้มากขึ้น การบริหารจัดการกองทุน จะมีการจัดประชุมเวทีประชาคมทุกเดือน โดยกำหนดทุกวันศุกร์ที่ 2 ของเดือน เวลาประมาณ 13.30 น. (หลังละหมาด) เพื่อจัดกิจกรรมรับรองครัวเรือนปลอดยาเสพติด หากพบว่ามีการยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ถ้าเป็นผู้เสพจะดำเนินการประสานกับสาธารณสุขตำบลนำไปบำบัดฟื้นฟูอาการต่อไป โดยกองทุนแม่ฯ จะเป็นผู้ออกค่าพาหนะเดินทางให้ นอกจากนี้กองทุนแม่ฯ ยังมีกิจกรรมชมรมทูบีนัมเบอร์วัน และการจัดสวัสดิการให้แก่สมาชิกด้วย เช่น การมอบทุนการศึกษา ทุนละ 500 บาท/คน การจัดหาวัสดุอุปกรณ์กีฬามอบให้แก่เยาวชนในหมู่บ้านนำไปใช้ประโยชน์ออกกำลังกาย และจัดสวัสดิการส่วนหนึ่งสนับสนุนวัฒนธรรม/ประเพณีต่างๆ ของชุมชน เช่น ลิเกฮูลู หรือนาเสบประยุกต์ การจัดงานวันตรุษอิดิ้ลฟีตรี่ (ออกบวช) วันตรุษอิดิ้ลอัฏฮา (หลังจากเสร็จพิธีฮัญญี) เป็นต้น
ส่วนการดำเนินงานด้านอื่นๆ... ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้าน กลุ่มสัจจะ กลุ่มสตรีแม่บ้าน กองทุนประปาหมู่บ้าน หรือโครงการ SML ก็มีการบริหารจัดการที่ดี มีความเข้มแข็ง ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากทั้งคณะกรรมการ ชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สำหรับด้านสุขภาพอนามัย จะมีอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) รับผิดชอบดูแลชาวบ้านในอัตราส่วน อสม. 1 คน ดูแลชาวบ้านประมาณ 30 ครัวเรือน โดยให้บริการในเรื่องการตรวจความดันโลหิต กำจัดลูกน้ำยุงลาย ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ และประสานงานเจ้าหน้าที่ตรวจเลือด ตรวจเบาหวาน ตรวจมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก เป็นต้น ส่วนด้านสิ่งแวดล้อมก็ได้รับการดูแลโดยคณะกรรมการหมู่บ้าน ทั้งในเรื่องการกำจัดขยะและวัชพืชในลำคลอง
หลักคิดในการทำงานของผู้นำชุมชน... ความสำเร็จของการพัฒนาชุมชนของบ้านบึงสิงห์ในวันนี้ เกิดจากการมีผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง ทำงานเป็นทีม โดยยึดหลักคิดในการทำงานเพื่อพัฒนาหมู่บ้าน ได้แก่ 1.การวางแผน ต้องมีการใช้แผนเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนงานต่างๆ ในหมู่บ้าน 2.ต้องมีการพูดคุย ปรึกษาหารือกันในระหว่างคณะกรรมการก่อนดำเนินงาน 3.ต้องมีการจัดเวทีประชาคมเพื่อให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น และลงมติเพื่อให้ความเห็นชอบ 4.ต้องมีการจัดบันทึกการประชุมไว้เป็นหลักฐาน และ 5.ต้องมีการติดตามประเมินผลการทำงานเป็นระยะๆ ซึ่งดูแล้วก็คล้ายคลึงกับหลักการพัฒนาชุมชนของกรมการพัฒนาชุมชน
วิธีการทำงานพัฒนาชุมชนของผู้นำชุมชนบ้านบึงสิงห์... เท่าที่เราถอดบทเรียนมา ผู้นำชุมชนจะยึดเสียงส่วนใหญ่ในการปฏิบัติงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นมุสลิม แต่ก็ให้เกียรติและเคารพส่วนเล็กซึ่งเป็นชาวพุทธ หากจะแบ่งวิธีการทำงานของที่นี่ก็น่าจะได้วิธีการที่สำคัญประมาณ 4 ข้อ ดังนี้
1. การสื่อสารข้อมูลข่าวสารในหมู่บ้าน... จะใช้วิธีออกหนังสือไปยังคณะกรรมการหมู่บ้าน และคณะกรรมการหมู่บ้านจะนำไปบอกต่อลูกบ้าน ในอัตราส่วน คณะกรรมการ 1 คน ต่อ ลูกบ้าน 4 – 5 ครัวเรือน คนที่ไม่ได้รับข่าวสารจากวิธีดังกล่าว จะมีการโทรศัพท์บอกอีกครั้งหนึ่ง และก่อนจะเริ่มการประชุมหรือเริ่มกิจกรรมก็จะประกาศเสียงตามสาย เตือนให้ชาวบ้านเข้าร่วมกิจกรรมอีกครั้งหนึ่ง
2. การจัดการกับปัญหาวัยรุ่น... จะใช้วิธีเฝ้าระวังพฤติกรรมของวัยรุ่นไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดโดยเครือข่ายชุมชน หากพบว่ามีวัยรุ่นติดยาเสพติดก็จะประสานงานกับเจ้าหน้าที่ส่งตัวเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูต่อไป ทั้งนี้คณะกรรมการจะปฏิบัติต่อวัยรุ่นโดยใช้หลักสันติวิธี ให้ครอบครัวช่วยดูแล และมาตรการทางสังคมโดยการตรวจสอบรับรองครัวเรือนในเวทีประชาคมกองทุนแม่ของแผ่นดิน
3. การจัดการกับปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง... จะยึดหลักสมานฉันท์ โดยผู้นำศาสนาจะเป็นผู้หล่อหลอมและตักเตือน ให้ยอมรับความคิดเห็น ความแตกต่าง ให้รู้จักแยกแยะ คิดวิเคราะห์ และหลีกเลี่ยงการพูดคุยเรื่องการเมืองกรณีที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน
4. การใช้เครื่องมือดำเนินกิจกรรมในหมู่บ้าน... จะยึดหลักในการใช้แผนชุมชนเป็นเครื่องมือในการทำงาน ใช้วันสำคัญทางศาสนา และวันสำคัญทางราชการ เป็นวันกำหนดทำกิจกรรมต่างๆ ของหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังมีการอบรมคุณธรรม และอบรมอาชีพให้เด็กและเยาวชนในหมู่บ้าน เพื่อให้ปฏิบัติตนเป็นคนดีต่อไป
คำแนะนำสำหรับเจ้าหน้าที่ในการทำงานพื้นที่... ผู้นำชุมชนให้คำแนะนำไว้ว่า สำหรับเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาทำงานในพื้นที่บ้านบึงสิงห์นั้น ควรทำตัวเป็นกันเอง มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี สร้างความคุ้นเคย กลมกลืนกับชาวบ้าน และเมื่อชาวบ้านไปหาก็ควรต้อนรับด้วยมิตรไมตรี เพียงเท่านี้ก็สามารถจะทำงานกับชาวบ้านบึงสิงห์ได้ด้วยความราบรื่นแล้ว
ปัจจัยความสำเร็จของหมู่บ้านในวันนี้... จากการถอดบทเรียนเราพบว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาบ้านบึงสิงห์ มีอยู่หลายข้อด้วยกัน ดังนี้
1. ความเชื่อถือศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อผู้นำชุมชน
2. ความเป็นกลางของผู้นำชุมชน
3. ความศรัทธาต่อผู้นำศาสนา/ผู้นำธรรมชาติ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ
4. ผู้นำชุมชนได้รับการยอมรับจากประชาชน
5. ความเข้มแข็งของชุมชน
6. บรรพบุรุษที่มีจิตอาสาและเป็นแบบอย่างที่ดี
7. มีจุดศูนย์รวมทางจิตใจ (มัสยิด)
8. ชุมชนมีองค์ความรู้ที่หลากหลาย
9. มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างสม่ำเสมอ
10. ใช้หลัก “คันตรงไหน เกาตรงนั้น”
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดฉะเชิงเทรา โทร. 038-511239
ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง
กำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน
ผู้นำชุมชนกลุ่ม/องค์กร
และชาวบ้าน “บ้านบึงสิงห์”ทุกคน
ที่ให้ความร่วมมือในการถอดบทเรียนครั้งนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น